Update in Coming soon…

Netflix เป็นบริการสตรีมภาพยนตร์ออนไลน์ เรียกดูผ่านเว็บไซต์หรือแอป Netflix ด้วยราคาที่เอื้อมถึง ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 280 บาท/เดือน ขยับขึ้นเล็กน้อยเป็น 350 บาท/เดือน ดู 2 หน้าจอพร้อมกันแบบ HD ได้ ส่วนพรีเมียม 420 บาท/เดือน ดูได้ 4 หน้าจอพร้อมกันซึ่ง เราสามารถแบ่งปันกับผู้อื่นได้ คุณสามารถเห็นมันได้เช่นกัน โดยปกติเราสามารถเห็นมันในเวลาที่ต่างกันอยู่แล้ว อาจมีซ้ำบ้าง เช่น 20.00 น. – 16.00 น. หรือวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่คนส่วนใหญ่สี่คนไม่ค่อยดูพร้อมกันและมีบัญชีการดูแยกต่างหาก

Netflix เริ่มต้นธุรกิจในปี 1997 ด้วยแนวคิดร้านเช่าดีวีดี ในช่วงเวลานั้น ยักษ์ใหญ่แห่งวงการภาพยนตร์เข้าครอบงำในตลาดสหรัฐฯ แนวคิดของ Blockbuster คือการเช่าร้านวิดีโอ เมื่อถึงเวลาต้องส่งคืน Netflix มีปัญหากับการเช่าแผ่นดิสก์ คือ ลืมคืนและจ่ายค่าปรับจำนวนมาก บางครั้งก็มากกว่าการซื้อหนังเรื่องหนึ่งมาทับเรื่องอื่น

ดังนั้น Netflix จึงมีวิธีให้คนเช่า โดยไม่มีค่าปรับซึ่งเป็นค่าเช่ารายเดือนและสามารถเช่าแผ่นดิสก์ได้หลายแผ่น รุ่นนี้ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จค่อนข้างมาก และเอาชนะบล็อกบัสเตอร์รายใหญ่แม้ว่า Blockbuster จะพยายามทำบางอย่างแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะหรือตามทันได้

สิ่งที่น่าสนใจคือ Netflix เป็นกรณีศึกษาที่แสดงให้เห็นแนวคิดของ Startup อย่างชัดเจน เพราะแนวคิดของ Startup จะต้องสามารถเติบโตได้แบบก้าวกระโดด เป็นสิ่งที่ธุรกิจ SME ไม่สามารถทำได้ เช่น หากเราเป็นธุรกิจร้านตัดผมและต้องการขยายสาขา เดิมดังในกรุงเทพและขยายไปทั่วประเทศไทย อย่างน้อยที่ต้องทำคือเปิดสาขาในทุก 77 จังหวัด ซึ่งจะเป็นไปจนกว่าทุกจังหวัดจะเปิดได้ หาช่างทำผมที่ร้านเสริมสวย ต่างจากธุรกิจ stratup ที่ต้องเติบโตแบบก้าวกระโดดภายใน 1 ปี หรือกรณีของ Netflix ทำได้ข้ามคืน ไม่ใช่แค่จากจังหวัดเดียวถึง 77 จังหวัด แต่จากสหรัฐอเมริกาไปขยายไปทั่วโลก

Netflix ทำอย่างไร?
ย้อนกลับไปในตอนนั้น Netflix ได้รับความนิยมในอเมริกาแล้ว วันหนึ่งฉันต้องการขยายฐานสมาชิกในเอเชีย สิ่งที่เขาทำคือการประกาศที่งาน CES (The Consumer Electronics Show) ที่ลาสเวกัสทุกปี ว่าตั้งแต่วันนี้เขาจะขยายฐานของเขาไปยังเอเชีย และผู้คนในเอเชียสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ Netflix และชำระเงินในสกุลเงินของประเทศตนเองได้ หลังการประกาศก็เป็นข่าวใหญ่ในเอเชีย แน่นอนว่ามีคู่แข่งมากมาย เช่น iflix

next

สิ่งที่น่าสนใจคือ Netflix ตั้งอยู่ในแคลิฟอร์เนีย แต่ขยายได้ทั่วโลก และมูลค่าของบริษัท (Valuation) ปัจจุบันอยู่ที่ 60 พันล้านดอลลาร์ มีพนักงาน 3,700 คนทั่วโลก และที่สำคัญที่สุด จำนวนสมาชิก (Subscribers) เพิ่มขึ้นกว่า 130 ล้านคน ขยายเป็น 130 ประเทศทั่วโลก Fast Company จัดให้ Netflix ติดอันดับ Top 50 The Most Innovative Company หรือบริษัทที่มีนวัตกรรมยอดเยี่ยม

นอกจากนี้ รองประธานฝ่ายนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ Chris Jaffe ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็น The Most Creative People in Business สิ่งที่ทำให้ Netflix ได้รับรางวัลมากมายก็คือมีภาพยนตร์ให้ชมมากมายบน Netflix แต่ไม่ใช่แค่หนังฮอลลีวูดเท่านั้น แต่ยังมีรายการทีวี ซีรีส์ คอนเสิร์ต สารคดี และล่าสุดคือรายการทอล์คโชว์ที่นำโดยนักแสดงตลกชื่อดังอย่าง David Ledderman บน Netflix

ในตอนแรก Netflix อยู่ในรูปแบบของการซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ ซีรีส์หรือรายการ แต่เขาเห็นว่ารุ่นนี้อาจไม่ทำงานในระยะยาวเพราะเป็นการยืมจมูกคนอื่นมาหายใจไม่มีเนื้อหาของตัวเองต้องซื้อใบอนุญาตขายขึ้นอยู่กับคนอื่นตลอดเวลาหากวันหนึ่งเจ้าของลิขสิทธิ์ ต้องการขึ้นราคา หรือไม่เช่าแล้ว Netflix จบง่ายๆ ดังนั้นจึงเป็นที่มาของการสร้างเนื้อหาของตัวเองหรือ Netflix Original โดยเรื่องแรกคือ Orange is the New Black เรื่องราวของนักโทษหญิงหรือ House of Cards ที่นำแสดงโดยเควินสเปซีย์

รุ่นนี้หลายค่ายเริ่มติดตามเช่น HBO, Games Of Throne ซึ่ง Netflix มีรายการมากมายเขาเห็นว่าตัวเองไม่ต้องการมีนางแบบที่ทำหนังจับมวล ท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนต้องการเห็น ถูกใจ หรือสนใจ แต่ควรรวมกลุ่ม Niche หลายๆ กลุ่มเข้าด้วยกัน
นอกจาก Netflix แล้ว ยังมีการตลาดที่แปลกในแง่ของการคิดเนื้อหาอีกด้วย อีกสิ่งหนึ่งที่พัฒนาขึ้นคือการออกแบบอินเทอร์เฟซหรือหน้าจอที่ใช้งานง่ายบนอุปกรณ์ต่างๆ ประมาณปี 2559 อินเทอร์เฟซได้รับการปรับปรุงจากภาพโปสเตอร์ภาพยนตร์ปกติเป็นโปสเตอร์แอนิเมชั่น มีตัวอย่างภาพยนตร์ที่เมื่อวางเมาส์ไว้เหนือเมาส์ คุณสามารถดูตัวอย่างภาพยนตร์ได้ เหตุผลเพราะอยากให้คนไม่ต้องกดดูรอโหลดก่อน เพื่อดูว่ามันสนุกไห�